เปิดรับการเสนอชื่อแล้ว: รางวัล Stevie® Awards ครั้งแรกสำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

รางวัลธุรกิจชั้นนำของโลกใหม่ล่าสุดนี้จะเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก

แฟร์แฟกซ์ เวอร์จิเนีย, March 28, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — The Stevie® Awards ผู้จัดงานประกาศรางวัลธุรกิจชั้นนำของโลก ได้เปิดการแข่งขันเข้าชิงรางวัลระดับนานาชาติครั้งที่ 9 ในรางวัล Stevie® Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี โปรแกรมรางวัล Stevie Awards ใหม่นี้เฉลิมฉลองความสำเร็จอันโดดเด่นของบุคคล ทีมงาน และองค์กรที่กำหนดอนาคตของเทคโนโลยีในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม

บุคคลและองค์กรทั่วโลกสามารถมีสิทธิ์เข้าร่วมได้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน องค์กรแสวงหาผลกำไรและไม่แสวงหากำไร และองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โครงการนี้จะเชิดชูผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี องค์กร ความสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีที่สุดในโลกตั้งแต่ต้นปี 2022

กำหนดเวลาในการเข้าร่วมก่อนใครพร้อมรับส่วนลดค่าธรรมเนียมแรกเข้าคือวันที่ 2 พฤษภาคม กำหนดเวลาในการเข้าร่วมคือวันที่ 30 พฤษภาคม แต่จะสามารถทำการเข้าร่วมล่าช้าได้จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน โดยต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมล่าช้า สามารถดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ www.StevieAwards.com/tech

Michael Gallagher ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของ Stevie Awards ได้แสดงความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จครั้งสำคัญของรางวัล Stevie Awards “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศการเปิดการแข่งขัน Stevie Awards ครั้งล่าสุดของเรา โดยจะเป็นรางวัล Stevie Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี เนื่องในโอกาสที่เราเฉลิมฉลองครบรอบ 22 ปีนับตั้งแต่การริเริ่มการแข่งขัน Stevie Awards ครั้งแรกในปี 2002 การเปิดตัวครั้งนี้ได้เติมเต็มวิสัยทัศน์ที่รอคอยมานาน ด้วยหมวดหมู่ที่แตกต่างจากโปรแกรมที่มีอยู่ของเรา การแข่งขันครั้งนี้จึงมอบโอกาสพิเศษสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดเล็ก องค์กร และบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้า เพื่อนำเสนอความสำเร็จด้านเทคโนโลยีของตนในเวทีระดับโลกอันทรงเกียรติ”

โปรแกรมมีหมวดหมู่ต่าง ๆ มากกว่า 250 หมวดหมู่ โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี 20 กลุ่ม พร้อมชุดหมวดหมู่ที่กว้างขึ้นสำหรับหมวดหมู่เทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดกลุ่มหมวดหมู่ต่าง ๆ ได้รวมถึงหมวดหมู่ดังต่อไปนี้:

ในแต่ละปี การแข่งขัน Stevie Awards ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากกว่า 12,000 รายชื่อจากองค์กรทุกประเภทและทุกขนาดในกว่า 70 ประเทศ ผู้ได้รับรางวัล Stevie Award ในอดีต ได้แก่ Cisco Systems, Inc., DP DHL, EY Global Services Limited, HCLTech, IBM Corporation, LLYC, Proctor & Gamble, Samsung, Toyota, Verizon, Viettel Group และอีกมากมาย

คณะกรรมการตัดสินที่ประกอบด้วยผู้บริหารมากกว่า 100 คนทั่วโลกจะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะรางวัล Stevie Award ในระดับ Gold, Silver และ Bronze จะมีการประกาศรายชื่อผู้ชนะต่อสาธารณะในวันที่ 7 สิงหาคม และเฉลิมฉลองความสำเร็จในงานกาล่าร่วมกันกับผู้ชนะรางวัล Stevie® Awards สำหรับนายจ้างที่ยอดเยี่ยมประจำปีครั้งที่ 9 ในวันที่ 16 กันยายน ที่โรงแรม Marriott Marquis นครนิวยอร์ก

เกี่ยวกับ Stevie Awards
Stevie Awards จัดขึ้นโดยมีเก้าโปรแกรม ซึ่งได้แก่: รางวัล Stevie Awards ในเอเชียแปซิฟิก รางวัล Stevie Awards ในเยอรมัน รางวัล Stevie Awards ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ The American Business Awards®, The International Business Awards® รางวัล Stevie Awards สำหรับนายจ้างที่ยอดเยี่ยม, รางวัล Stevie Awards สำหรับสตรีในภาคธุรกิจ รางวัล Stevie Awards ในด้านการขายและการบริการลูกค้า และโปรแกรม Stevie Awards ใหม่ล่าสุด ซึ่งได้แก่รางวัล Stevie Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี มีการส่งชื่อเข้าประกวดในการแข่งขันชิงรางวัล Stevie Awards มากกว่า 12,000 ชื่อต่อปีจากองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 70 ประเทศ Stevies ยกย่องผลงานที่โดดเด่นในสถานที่ทำงานทั่วโลก โดยให้เกียรติองค์กรทุกประเภทและทุกขนาดและบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัล Stevie Awards ได้ที่ http://www.StevieAwards.com

ติดต่อ:
Nina Moore
+1 (703) 547-8389
Nina@StevieAwards.com

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่ https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/91ea8fc2-fd10-4e4b-ac13-67f99083a926

GlobeNewswire Distribution ID 9080435

EBC Financial Group ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบจาก Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA)

CIMA หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของโลกที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เป็นมืออาชีพ มีประสิทธิภาพ และมั่นคง

EBC Financial Group – ใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจาก CIMA
EBC Financial Group ได้รับใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจากสำนักงานเงินตราหมู่เกาะเคย์แมน (CIMA)

HONG KONG, March 28, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — EBC Financial Group (Cayman) Limited ได้รับใบอนุญาตด้านกฎระเบียบเต็มรูปแบบอนุมัติโดย Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA) โดยมีหมายเลขกำกับดูแล คือ 2038223 ซึ่งทาง EBC Group นั้นได้รับอนุญาตและควบคุมโดยเขตอำนาจศาลทางการเงินที่สำคัญหลายแห่งทั่วโลกอยู่แล้ว ใบอนุญาต CIMA ถือเป็นอีกก้าวสำคัญหลังจากที่ EBC Group ได้รับใบอนุญาต FCA และ ASIC ภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เข้มงวดของ CIMA นั้น EBC จะให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งรวมถึง์ความเชื่อมั่นใน หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส และกองทุน โดยมุ่งเน้นที่ปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการรายย่อยหรือผู้ใช้บริกาารระดับสถาบันและก้าวไปสู่การสร้างระบบนิเวศทางการเงินระดับโลกที่ซับซ้อน

EBC Financial Group - ใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจาก CIMA

ศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก

หมู่เกาะเคย์แมนเป็นหนึ่งในห้าศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลกและยังเป็นศูนย์กลางการธนาคารนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์ประกันภัยนอกชายฝั่งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย เป็นแหล่งรวม 90% ของธนาคารทั่วโลกและมากกว่า 85% ของกองทุนป้องกันความเสี่ยง มีหน้าที่กำกับดูแลรายวันและมีขนาดทุนเกิน 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลกและการสร้างระบบการจัดการชั้นยอด จึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก

หน่วยงาน CIMA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่เชื่อถือได้ของหมู่เกาะเคย์แมนที่ตั้งอยู่บนกรอบกฎหมาย

หน่วยงาน CIMA และใบอนุญาตประเภทได้รับการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ

นับตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงาน CIMA มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบ เนื่องจากเกณฑ์การสมัครยังคงมีการปรับเปลี่ยนให้ได้มาตราฐานที่สมบูรณ์ที่สุดและการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ EBC Group ได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA และได้รับอำนาจการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ เช่น การซื้อขาย   การรับประกันภัยและการสมัครสมาชิก   การจัดการระบบต่างๆ และการให้คำปรึกษา โดยผ่านการอนุมัติจากการกำกับดูแลที่เข้มงวดที่สุดของ CIMA และ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกรอบการทำงานของ Cayman SIB Act รับประกันความปลอดภัยของเงินทุนของนักลงทุนอย่างเต็มที่

รายการใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบของ EBC Financial Group

รายการใบรับรองการกำกับดูแลที่ได้รับอนุญาตและครบถ้วน ซึ่งมอบให้แก่ EBC Financial Group โดยสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และหมู่เกาะเคย์แมน

ด้วยการดำเนินการตามกฎระเบียบ MiFID II ทำให้ขนาดและขอบเขตของตลาดค้าปลีกจึงถูกจำกัดในระดับที่แตกต่างกัน หน่วยงาน CIMA เป็นสถาบันเดียวที่ให้เครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและการกำกับดูแลที่ครอบคลุมแก่ผู้ใช้รายย่อย และมีสถานะที่สำคัญในระดับนานาชาติ

ใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA รวบรวมสถานะของ EBC ในฐานะกลุ่มการเงินชั้นนำของโลก ส่งเสริมการจัดสรรสินทรัพย์ข้ามเขตอำนาจศาลของ EBC และให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบที่ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับการขยายบริการระดับโลก

การกำกับดูแลข้ามอย่างเข้มงวด

EBCปฏิบัติตามหลักปฏิบัติทางอุตสาหกรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมที่เข้มงวดที่สุดเสมอเพื่อยับยั้งตัวเองและปกป้องความปลอดภัยของสินทรัพย์และการพัฒนามูลค่าของลูกค้าก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA เดิมที EBC มีใบอนุญาตตามกฎระเบียบชั้นนำของโลกอยู่สองใบ:

  • EBC Financial Group (UK) Ltd ได้รับอนุญาตและควบคุมโดย UK Financial Conduct Authority (FCA) หมายเลขควบคุม: 927552
  • EBC Financial Group (Australia) Pty Ltd ได้รับอนุญาตและควบคุมโดย Australian Securities and Investments Commission (ASIC) หมายเลขควบคุม: 500991

รายการใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบของ EBC Financial Group

ในฐานะที่เป็นนายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก EBC ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ CIMAเท่านั้นแต่ยังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดและข้อบังคับของFCAในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยและช่วยนักลงทุนให้มีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นผ่านข้ามระเบียบข้อบังคับ.

EBC Group มีบัญชีธนาคานิติบุคคลระดับองค์กรสูงสุดจาก Barclays Bank และหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกัน EBC Financial Group (Cayman) Limited และ EBC Financial Group (UK) Limitedปฏิบัติตามกฎระเบียบการคุ้มครองเงินทุนของลูกค้าอย่างเคร่งครัดและถือเงินทุนของลูกค้าไว้ในการดูแลอย่างอิสระที่ Barclays Bank ในสหราชอาณาจักรเและยังสามารถพลิดเพลินกับการรักษาความปลอดภัยระดับ AAAอีกด้วย

ขยายระบบนิเวศการค้าระดับโลก

หลังจากได้รับใบอนุญาตด้านกฎระเบียบเต็มรูปแบบอนุมัติโดย Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA) แล้ว EBC Group จะสำรวจขอบเขตใหม่และขยายบริการที่หลากหลายและเป็นนวัตกรรมไปทั่วโลก

ในอนาคต EBC จะยึดมั่นในปณิธานดั้งเดิมและปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสูงของ CIMA อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนจะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงสร้างกลไกการรับประกันตามกฎระเบียบที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และส่งเสริมความไว้วางใจซึ่งกันและกันของอุตสาหกรรมและความโปร่งใสของข้อมู

เพราะ EBC เชื่อเสมอว่าทุกคนที่ค้าขายอย่างจริงจังสมควรได้รับบริการอย่างจริงจังจากเรา

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EBC Financial Group กรุณาเข้าชมเว็บไซต์: https://www.ebc.com/.

เกี่ยวกับ EBC Financial Group
EBC Financial Group (EBC) ก่อตั้งขึ้นในย่านศูนย์กลางทางการเงินอันทรงเกียรติของกรุงลอนดอน มีชื่อเสียงในด้านชุดบริการที่ครอบคลุม   ซึ่งรวมถึง นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การจัดการสินทรัพย์ และโซลูชันการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยสำนักงานที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ เช่น ซิดนีย์ ฮ่องกง โตเกียว สิงคโปร์ กรุงเทพมหานคร ลิมาซอล และอื่นๆ อีกมากมาย EBC มุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ บุคคลทั่วไป หรือสถาบันการเงินทั่วโลก

ได้รับรางวัลมากมาย EBC ภาคภูมิใจในการยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยศาสตร์และกฎระเบียบระหว่างประเทศสูงสุด โดยบริษัทในเครือ EBC ได้รับการกำกับดูแล ดังนี้

  • EBC Financial Group (UK) Limited อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Financial Conduct Authority (FCA) แห่งสหราชอาณาจักร
  • EBC Financial Group (Australia) Pty Ltd อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Australian Securities and Investments Commission (ASIC) แห่งออสเตรเลีย
  • EBC Financial Group (Cayman) Limited อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Cayman Islands Monetary Authority (CIMA) แห่งหมู่เกาะเคย์แมน

หัวใจสำคัญของ EBC Group คือทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์กว่า 30 ปี ในสถาบันการเงินชั้นนำ   ซึ่งสามารถผ่านพ้นวัฏจักรเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ มาได้อย่างชาญฉลาด ตั้งแต่ข้อตกลงปลาซ่า ไปจนถึงวิกฤติสกุ
ลเงินฟรังก์สวิสในปี 2015 EBC ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความซื่อสัตย์ ความเคารพ และความปลอดภัยของสินทรัพย์ของลูกค้าเพื่อให้แน่ใจว่าการมีส่วนร่วมกับนักลงทุนทุกคนได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังตามที่ควรจะเป็น

ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร
Douglas Chew
+6011 3196 6887
douglas.chew@ebc.com

สามารถรับชมรูปภาพประกอบของการแถลงนี้ได้ที่:

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/91e6abd0-80e6-4fec-b2d8-9d31ea416203

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/f2c6c812-dfe4-4c9f-9910-59b56a3b23f4

GlobeNewswire Distribution ID 9080861

Core Specialty เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้วยโซลูชัน SaaS บนคลาวด์ของ Duck Creek ผ่านทาง Microsoft Azure Marketplace

Duck Creek ได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์ของลูกค้า และลดความซับซ้อนของการทำธุรกรรมสำหรับบริษัทประกันภัยที่เน้นเทคโนโลยี เช่น Core Specialty ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับ Microsoft

บอสตัน, March 27, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Duck Creek Technologies ผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่กำหนดอนาคตของทรัพย์สินและอุบัติเหตุ (P&C) และการประกันภัยทั่วไป ได้เน้นย้ำ Core Specialty ในฐานะลูกค้ารายแรกที่ทำธุรกรรมการสมัครสมาชิก Duck Creek OnDemand บนตลาดเชิงพาณิชย์ของ Microsoft เพื่อใช้ Microsoft Azure Consumption Commitment (MACC) ที่มีให้บริการ

Duck Creek และ Microsoft กำลังปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและปรับปรุงธุรกรรมสำหรับบริษัทประกันภัยที่เน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก ดังเช่น Core Specialty ในฐานะที่ Core Specialty เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันภัย จึงตระหนักถึงคุณค่าเชิงกลยุทธ์ของการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการ (software-as-a-service หรือ SaaS) ผ่านทาง Azure Marketplace แนวทางนี้ช่วยให้ Core Specialty สามารถใช้การชำระค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการของ Duck Creek เป็นเครดิตให้กับ MACC และลดความซับซ้อนของกระบวนการเรียกเก็บเงินผ่านใบแจ้งหนี้รวม

ในฐานะที่ Core Specialty เป็นบริษัทประกันภัยที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีซึ่งคลุกคลีอยู่กับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับประโยชน์จากการให้บริการของ Duck Creek ในตลาดเชิงพาณิชย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง Duck Creek และ Microsoft ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับบริษัทประกันภัยในด้านความสามารถในการปรับขนาด ความปลอดภัย และความยั่งยืน รวมถึงการเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและเกิดใหม่

“เรามีความภาคภูมิใจในการสนับสนุน Core Specialty บนเส้นทางสู่การเติบโต นวัตกรรม และความเป็นเลิศในการบริการสำหรับทั้งลูกค้าและพันธมิตรการจัดจำหน่ายผ่านโซลูชันระดับโลกและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของเรา” Mike Jackowski ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Duck Creek Technologies กล่าว “การตัดสินใจเปิดตัวโซลูชัน Duck Creek ใน Microsoft Azure Marketplace ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์และเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัทประกันภัย โดยการปรับความสัมพันธ์และการลงทุนระหว่าง Duck Creek และ Microsoft ให้เข้ากับผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพ”

“ชัยชนะของ Duck Creek กับ Core Specialty Insurance แสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ของพันธมิตรในการสร้างสิ่งต่าง ๆ บน Microsoft Azure และการขายโซลูชันผ่าน Azure Marketplace ส่งผลให้กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงระบบคลาวด์ของ Core Specialty ทั่วทั้งผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการและโซลูชันที่ทำธุรกรรมได้นั้นมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเน้นย้ำพลังของการทำงานร่วมกัน โดยที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและบริษัทประกันภัยที่มีความคิดก้าวหน้ามารวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านการประกันภัย ในขณะที่เรายังคงเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ยังเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของระบบคลาวด์และระบบนิเวศทางธุรกิจของพันธมิตรของ Microsoft” Karen Del Vescovo ผู้ให้บริการด้านการเงินด้านต้นทุน ปริมาณ และกำไร (CVP) ของ Microsoft กล่าว

“ที่ Core Specialty ความทุ่มเทของเราในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและนายหน้าของเรานั้นไม่เปลี่ยนแปลง” Jeff Consolino ผู้ก่อตั้ง ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Core Specialty กล่าว “ด้วยความสัมพันธ์ของเรากับ Duck Creek และ Microsoft เราได้เน้นย้ำในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ความสัมพันธ์นี้จะช่วยให้เรารักษาความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้”

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Azure Marketplace และดูว่าบริษัทประกันภัยที่มีเครดิตของ Microsoft Azure Consumption Commitment (MACC) สามารถใช้จ่ายเครดิตกับโซลูชัน OnDemand ของ Duck Creek ซึ่งรวมถึงนโยบาย การให้คะแนน การเรียกเก็บเงิน การเรียกร้อง ผู้ผลิต ข้อมูลเชิงลึก การจัดการการจัดจำหน่าย และเนื้อหาในอุตสาหกรรมได้อย่างไร

เกี่ยวกับ Core Specialty

Core Specialty นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยเฉพาะทางที่หลากหลายสำหรับบริษัทขนาดเล็กถึงขนาดกลาง บริษัทมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะ การจัดจำหน่ายในท้องถิ่น และความรู้ที่เหนือกว่าในการรับประกันภัย โดยนำเสนอโซลูชันการประกันภัยแบบดั้งเดิมและแบบนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและนายหน้า โดยดำเนินงานจากสำนักงานรับประกันภัยซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา Core Specialty เป็นบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นประกันภัยที่ดำเนินงานผ่าน StarStone Specialty Insurance Company ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยด้านค่าเสียหายส่วนแรกและส่วนเกินของสหรัฐอเมริกา และ StarStone National Insurance Company, Lancer Insurance Company และ Lancer Insurance Company of New Jersey ซึ่งแต่ละแห่งเป็นบริษัทประกันในตลาดที่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา และ Standard Life and Accident Insurance Company ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต อุบัติเหตุ และสุขภาพ หน่วยงานประกันภัยของ Core Specialty ทั้งหมดได้รับการจัดอันดับจาก AM Best ในระดับ A- (ดีเยี่ยม) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Core Specialty ได้ที่ www.corespecialty.com

เกี่ยวกับ Duck Creek Technologies

Duck Creek Technologies คือผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่กำหนดอนาคตของทรัพย์สินและอุบัติเหตุ (P&C) และอุตสาหกรรมประกันภัยทั่วไป เราเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สร้างระบบประกันภัยสมัยใหม่ ซึ่งช่วยให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากพลังของระบบคลาวด์เพื่อการดำเนินการที่คล่องตัว ชาญฉลาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความถูกต้อง วัตถุประสงค์ และความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของ Duck Creek และเราเชื่อว่าการประกันภัยควรมีให้สำหรับบุคคลและธุรกิจในเวลา ในสถานที่ และในเหตุผลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด โซลูชันชั้นนำของตลาดของเรามีจำหน่ายแบบแยกเดี่ยวหรือเป็นแบบทั้งชุด และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีจำหน่ายผ่านทาง Duck Creek OnDemand กรุณาไปที่ www.duckcreek.com เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม ติดตาม Duck Creek บนช่องทางโซเชียลของเราเพื่อรับข้อมูลล่าสุดได้ผ่านทาง LinkedIn และ X

ติดต่อด้านสื่อ:
Dennis Dougherty
dennis.dougherty@duckcreek.com

GlobeNewswire Distribution ID 9080239

Ambiq Apollo510 มอบการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน 30 เท่าเพื่อปลดปล่อยขุมพลัง AI ปลายทาง

Apollo เจเนอเรชันถัดไปจับคู่การเร่งความเร็วเวกเตอร์กับประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ไม่มีใครเทียบได้ เพื่อให้สามารถนำการอนุมานด้วย AI ส่วนใหญ่ไปใช้บนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องใช้ NPU เฉพาะ

จุดเด่นของคุณสมบัติ

  • Apollo510 ซึ่งใช้ Arm Cortex-M55 มอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้น 30 เท่า และประสิทธิภาพที่เร็วขึ้น 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
  • ความสามารถในการทำงาน AI/ML พร้อมกันกับกราฟิกที่ซับซ้อน แอปพลิเคชันเสียงคุณภาพโทรคมนาคม และการประมวลผลเสียง/เซ็นเซอร์ที่ทำงานตลอดเวลา
  • NVM บนชิป 4 MB, SRAM บนชิป 3.75 MB และอินเทอร์เฟซแบนด์วิธสูงสำหรับหน่วยความจำนอกชิป
  • GPU 2.5D พร้อมการเร่งกราฟิกแบบเวกเตอร์เพื่อกราฟิกที่สดใส คมชัด และราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับตระกูล Apollo4 Plus
  • รองรับจอแสดงผล Memory in Pixel (MiP) ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานต่ำที่สุด
  • การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งบนแพลตฟอร์ม secureSPOT® ของ Ambiq พร้อมเทคโนโลยี Arm TrustZone

ออสติน เท็กซัส, March 27, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Ambiq ผู้นำเทคโนโลยีด้านเซมิคอนดักเตอร์ประหยัดพลังงานเป็นพิเศษสำหรับอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) กำลังเปิดตัว Apollo510 ตัวใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของตระกูลผลิตภัณฑ์ระบบบนชิปของ Apollo5 (Apollo5 SoC) ซึ่งได้รับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อย่างมีเอกลักษณ์ในการเริ่มต้นยุคสมัยของ AI ที่แพร่หลาย ใช้งานได้จริง และมีความหมายอย่างแท้จริง

Apollo510 MCU เป็นการยกเครื่องฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมดซึ่งใช้ประโยชน์จาก CPU Arm® Cortex®-M55 พร้อม Arm Helium™ อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ความเร็วการประมวลผลสูงสุด 250MHz Apollo510 มีความหน่วงที่ดีขึ้นถึง 10 เท่า ในขณะที่ลดการใช้พลังงานลงประมาณ 2 เท่า เมื่อเทียบกับ Apollo4 ซึ่งเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานรุ่นก่อนของ Ambiq การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่น่าพอใจนี้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับใช้โมเดล AI คำพูด การมองเห็น สุขภาพ และอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนบนอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้ทุกที่ ทำให้เป็นเซมิคอนดักเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตลาดที่จะทำงานร่วมกับ Arm Cortex-M55

“ที่ Ambiq พวกเราได้ผลักดันแพลตฟอร์ม SPOT ซึ่งกรรมสิทธิ์ของเราเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อสนับสนุนลูกค้าของเรา โดยกำลังเพิ่มความอัจฉริยะและความซับซ้อนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่อย่างจริงจังทุกปี” Scott Hanson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ก่อตั้ง Ambiq กล่าว ในขณะเดียวกัน MCU Apollo510 ตัวใหม่ถือเป็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงสุดที่เราเคยสร้างขึ้นมา”

“เนื่องจากแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และบ้านอัจฉริยะมีความก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ความต้องการ AI ที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์รุ่นต่อไป” Paul Williamson รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสายธุรกิจอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของ Arm กล่าว “ตระกูลผลิตภัณฑ์ระบบบนชิป (SoC) ใหม่ของ Ambiq ซึ่งสร้างบน Arm จะมอบประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับ AI บนอุปกรณ์ จึงช่วยให้นักพัฒนาและผู้ผลิตอุปกรณ์ส่งมอบความสามารถที่จำเป็นสำหรับยุค AI ได้”

ด้วยการปรับปรุงพลังงานมากกว่า 30 เท่า Apollo510 จึงสามารถรันการคำนวณ AI ปลายทางส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ รวมถึงการตรวจสอบเซ็นเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำ คำสั่งเสียงที่ทำงานตลอดเวลา การปรับปรุงคุณภาพเสียงด้านโทรคมนาคม และอีกมากมาย ผู้ผลิตอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งที่ทำการอนุมานด้วย AI/ML เช่น อุปกรณ์สวมใส่ยุคถัดไป อุปกรณ์สุขภาพดิจิทัล แว่นตา AR/VR ระบบอัตโนมัติในโรงงาน และอุปกรณ์ตรวจสอบระยะไกล สามารถเพิ่มขยายงบประมาณด้านพลังงานได้อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความสามารถเพิ่มเติมให้กับอุปกรณ์ของตนผ่านทางการออกแบบที่ปรับให้เหมาะสมโดยเฉพาะสำหรับ SPOT ของ Apollo510

Apollo510 มีคุณสมบัติทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนระบบอัจฉริยะ ซึ่งได้แก่: การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ หน่วยความจำบนชิปที่ขยายให้มากขึ้น อินเทอร์เฟซแบนด์วิธสูงสำหรับหน่วยความจำนอกชิป และการรักษาความปลอดภัย เทคโนโลยี Arm Helium บน Apollo510 รองรับ MAC ได้สูงสุด 8 เครื่องต่อรอบ รวมถึงการดำเนินการจำนวนจุดลอยตัวแบบความเที่ยงครึ่งเท่า แบบความเที่ยงหนึ่งเท่า และแบบความเที่ยงสองเท่า ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการคำนวณด้วย AI นอกเหนือจากการดำเนินการประมวลผลสัญญาณทั่วไป นอกจากนี้ Apollo510 ยังปรับปรุงความจุหน่วยความจำมากกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วย NVM บนชิป 4 MB และ SRAM และ TCM บนชิป 3.75 MB ดังนั้นนักพัฒนาจึงมีการพัฒนาที่ราบรื่นและมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากขึ้น Apollo510 มีโฮสต์ของอินเทอร์เฟซนอกชิปแบนด์วิดท์สูง ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ 500MB ต่อวินาที และคงความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้มากกว่า 300MB ต่อวินาที โดยคุณสมบัติดังกล่าวได้รับการออกแบบมาสำหรับโมเดลโครงข่ายประสาทเทียมหรือเนื้อหากราฟิกที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ

Apollo510 สร้างบนแพลตฟอร์ม secureSPOT ของ Ambiq โดยผสานรวมเทคโนโลยี Arm TrustZone เข้ากับฟังก์ชันทางกายภาพที่ไม่สามารถโคลนได้ (Physical Unclonable Function หรือ PUF), OTP ที่ทนต่อการงัดแงะ และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ปลอดภัย การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินการที่เชื่อถือได้ (Trusted Execution Environment หรือ TEE) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยและแข็งแกร่งและปรับขนาดผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น

ผู้ผลิตอุปกรณ์ปลายทางอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งสามารถคาดหวังประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ไม่มีใครเทียบได้เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ที่มีความสามารถมากขึ้น ซึ่งประมวลผลฟังก์ชันที่ใช้ AI/ML ได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยแอปพลิเคชันและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุปกรณ์สวมใส่ สุขภาพดิจิทัล เกษตรกรรม บ้านและอาคารอัจฉริยะ การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ระบบอัตโนมัติในโรงงาน และอีกมากมาย

ปัจจุบัน Apollo510 MCU กำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานโดยลูกค้า โดยจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Embedded Awards จากชุมชน Embedded World Community ประจำปี 2024 ภายใต้หมวดฮาร์ดแวร์

พบกับเราได้ที่งาน Embedded World Exhibition and Conference ในวันที่ 9-11 เมษายน 2024 เพื่อชมการสาธิตผลิตภัณฑ์แบบสด

เกี่ยวกับ Ambiq
ภารกิจของ Ambiq คือการพัฒนาโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้พลังงานต่ำที่สุดเพื่อให้สามารถใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะได้ทุกที่ และสามารถขับเคลื่อนโลกที่ประหยัดพลังงาน ยั่งยืน และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้ดีมากขึ้น Ambiq ได้ช่วยผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้นานหลายสัปดาห์ด้วยการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง (แทนที่จะใช้งานได้หลายวัน) ในขณะเดียวกันก็นำเสนอชุดคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการออกแบบทางอุตสาหกรรมขนาดกะทัดรัดด้วย เป้าหมายของ Ambiq คือการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เคยมีมาก่อนมาใช้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่เและอุปกรณ์พกพา โดยใช้โซลูชันระบบบนชิป (SoC) ระบบพลังงานต่ำพิเศษขั้นสูงของ Ambiq Ambiq มีการจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปแล้วมากกว่า 230 ล้านชิ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาไปที่ www.ambiq.com

ติดต่อ
Charlene Wan
รองประธานฝ่ายการสร้างแบรนด์ การตลาด และนักลงทุนสัมพันธ์
cwan@ambiq.com
1.512.879.2850

สามารถดูรูปภาพประกอบกับประกาศนี้ได้ที่:

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/d64aa7b3-31bb-457a-8a24-8fed2fbbea57

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/998624f8-ab5f-46a8-89df-53e125d82767

GlobeNewswire Distribution ID 9079855

XPENG ประกาศความร่วมมืออาเซียนในประเทศไทยและเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, March 26, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — XPENG Motors (“XPENG” หรือเรียกว่า “บริษัท” NYSE: XPEV และ HKEX: 9868) ในวันนี้ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะชั้นนำของจีน (“Smart EV”) ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวครั้งล่าสุดในประเทศไทยกับบริษัท Neo Mobility Asia จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท Arun Plus Mobility Holdings จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTT และบริษัท MGC-Asia GreenTech จำกัด

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวย่างระดับนานาชาติของ XPENG ในการเข้าสู่อาเซียน และนำไปสู่การเปิดตัว XPENG อย่างเป็นทางการที่งาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

รายชื่อพันธมิตรใหม่ที่เข้ามาร่วมมือเพิ่มขึ้นจากการตลาดเชิงกลยุทธ์ของ XPENG ได้ร่วมมือกับ XPENG เพื่อนำรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นล่าสุดของแบรนด์มาสู่ผู้บริโภคในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึง Premium Automobiles จากสิงคโปร์ และ Bermaz Auto จากมาเลเซีย โดยการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศของ XPENG

กลยุทธ์การตลาดระดับโลกของ XPENG มุ่งเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือกับผู้นำเข้า/ตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่น เพื่อสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่าย การขาย และการบริการระดับเฟิร์สคลาสในภูมิภาคต่าง ๆ James Wu รองประธานฝ่ายการเงินและสำนักงานสนับสนุนเชิงกลยุทธ์ต่างประเทศของ XPENG กล่าวว่า: “เราตั้งเป้าที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนแบรนด์ของเราในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจชั้นนำในภาคส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะในระดับโลก ด้วยการเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างมีกลยุทธ์และนำเสนอโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น”

XPENG จะนำเสนอรถยนต์ G6 SUV ในประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย และเริ่มส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 G6 ได้รับการพัฒนาสำหรับออกจำหน่ายในตลาดโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม Smart Electric Platform Architecture (SEPA) 2.0 ที่เป็นวิวัฒนาการของ XPENG ซึ่งวางรากฐานสำหรับโมเดลการผลิตในอนาคต และในขณะเดียวกันก็ทำให้วงจรการพัฒนาสั้นลงและลดต้นทุนการผลิต

ติดต่อ:
สำหรับสื่อที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
Rosanne Wu
อีเมล: wuqr@xiaopeng.com

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/fd43fb89-f099-43a8-8023-6e766f3334b6

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/90de6d37-527d-4c09-8331-de5d18e2ef43

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/c4094772-94dd-4b94-86fb-9affdf41a769

GlobeNewswire Distribution ID 9079449

TIS Has Signed Binding Agreement with Marlin Equity Partners to Secure a Majority Growth Investment

Marlin Equity Partners has signed a binding agreement to acquire a majority stake in Treasury Intelligence Solutions. The investment puts the company in a great position to continue investing in organic and inorganic growth opportunities across the Office of the CFO. Co-founder Joerg Wiemer, Aquiline Capital Partners LP, and the Management Team retain significant minority positions in the company.

BERLIN, GERMANY / ACCESSWIRE / March 26, 2024 / Today, Treasury Intelligence Solutions ("TIS"), a global leader in cloud-native cash management, liquidity and payment solutions, announced that it has signed a binding agreement to secure majority growth investment from Marlin Equity Partners ("Marlin"). The investment positions TIS to execute on organic and inorganic strategic initiatives to further serve the Office of the CFO. The agreement is subject to customary regulatory clearance. A closing of the transaction is expected in the second quarter.

TIS’ Group CEO Erik Masing commented "this exciting partnership with Marlin will fuel our international expansion efforts, leveraging their expertise to broaden our partnerships and strengthen our product offering. In an era of supply chain disruption, rate volatility and macroeconomic uncertainty, the importance of liquidity management, working capital optimization, and secure, efficient B2B payments has never been higher for our customers. The Marlin team demonstrated a deep appreciation for the strength of our value proposition and a strong alignment with our strategic goals."

Chris Calhoun, TIS’ CEO of Americas, added "Marlin’s deep understanding of the European and U.S. markets, as well as their experience in the Office of the CFO and monetization of data and payments in particular were the key reasons we were keen to partner with them."

"The TIS team impressed us with their strategic and innovative product offering, strong banking integrations and dedicated customers focus. The company’s mission-critical platform is well positioned to deliver continued growth in the global market for B2B payments, cashflow and treasury management solutions," said Konstantin von Bismarck from Marlin. "We are excited to welcome TIS to our family of software businesses and are thrilled to support the company’s vision of helping more enterprises effectively, securely and transparently manage their treasury needs."

Raymond James served as exclusive financial advisor to TIS. Guggenheim Securities, LLC served as exclusive financial advisor to Marlin.

About Treasury Intelligence Solutions (TIS)
TIS helps Chief Financial Officers, Treasurers, and Finance teams transform their global cash flow, liquidity, and payment functions. Since 2010, our award-winning cloud platform and robust service model have empowered the entire office of the CFO to collaborate more effectively and attain maximum efficiency, automation, and control. With over 11,000 banking options, $80 billion in daily cash managed, and $2.7 trillion in annual transaction volume, TIS has a proven track record of combining our extensive market expertise with tailored client and community feedback to drive digital transformation for companies of all sizes and industries. For more information, please visit www.tispayments.com.

About Marlin Equity Partners
Marlin Equity Partners is a global investment firm with approximately $9 billion in capital commitments. The firm is focused on providing corporate parents, shareholders and other stakeholders with tailored solutions that meet their business and liquidity needs. Marlin invests in businesses across multiple industries where its capital base, industry relationships and extensive network of operational resources significantly strengthen a company’s outlook and enhance value. Since its inception, Marlin, through its group of funds and related companies, has successfully completed over 200 acquisitions. The firm is headquartered in Los Angeles, California, with an additional office in London. For more information, please visit www.marlinequity.com.

About Aquiline Capital Partners LP
Aquiline Capital Partners LP is a private investment specialist based in New York, London, Philadelphia, and Greenwich, Connecticut, that invests across financial services and related technologies. The firm has $10.1 billion in assets under management as of September 30, 2023. For more information about Aquiline, its investment professionals, and its portfolio companies, visit www.aquiline.com.

Contact Information

Jennifer Knutel
EVP Global Marketing
jennifer.knutel@tispayments.com

SOURCE: Treasury Intelligence Solutions (TIS)

.

View the original press release on newswire.com.

เพื่อสนับสนุนความทุ่มเทในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทั่วโลก เหล่านักวิทยาศาสตร์ของ KFSH&RC ได้ค้นพบแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่: Riyadhensis

ริยาด, ซาอุดีอาระเบีย, March 26, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) —  นักวิทยาศาสตร์ที่ King Faisal Specialist Hospital and Research Centre (KFSH&RC) มุ่งสู่พัฒนาการที่ก้าวล้ำหน้า ด้วยการค้นพบแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ในชื่อ “Stenotrophomonas Riyadhensis” ผ่านเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์และจุลลินทรีย์ทั้งจีโนม (whole-genome sequencing – WGS) การค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ในการศึกษาปฏิกิริยาของแบคทีเรียที่มีต่อยา ซึ่งจะปูทางไปสู่นวัตกรรมกลยุทธ์การรักษาใหม่ ๆ ในอนาคต ความทุ่มเทดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทั่วโลก ช่วยเน้นย้ำถึงความสามารถด้านการวิจัยขั้นสูงของ KFSH&RC รวมถึงบทบาทการเป็นผู้นำในการสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และยกระดับการดูแลผู้ป่วย

การค้นพบ “Riyadhensis” ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของการทดสอบจีโนมในการคิดค้นวิธีการวินิจฉัยและการรักษาที่ให้ผลในเชิงบวก ตลอดจนช่วยให้เข้าใจกลไกการดื้อต่อยาของแบคทีเรียได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ละเอียดอ่อน เช่น ห้องดูแลผู้ป่วยหนัก (ICU) และในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ความสำเร็จต่าง ๆ ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจนในการต่อสู้กับการดื้อยาปฏิชีวนะ การพัฒนายา และการป้องกันการแพร่กระจายของโรค

นักวิจัยค้นพบแบคทีเรียชนิดใหม่นี้ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับการระบาดที่ต้องสงสัยในห้อง ICU ของ KFSH&RC ในปี 2562 ซึ่งการค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการค้นหาและตอบโต้แบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ที่ชุมชนวิทยาศาสตร์และการแพทย์ทั่วโลกไม่เคยรับรู้มาก่อนได้อย่างชัดเจน แรกเริ่มนั้น เหล่านักวิจัยคิดว่าแบคทีเรียนี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ Pseudomonas aeruginosa ซึ่งเป็นแบคทีเรียก่อโรคที่เลื่องชื่อในด้านการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ทว่าการวิเคราะห์ WGS ในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่าแบคทีเรียนี้ไม่ได้มีลักษณะที่ร่วมกันกับสกุล Pseudomonas แต่กลับพบว่า Riyadhensis นั้นอยู่ในสกุล Stenotrophomonas ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมและลักษณะสัณฐานวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแตกต่างจากเชื้อในสกุลตัวอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว

ดร. Ahmad Al Qahtani หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน ประจำศูนย์วิจัยของ KFSH&RC กล่าวว่า: “วิธีระบุเชื้อแบคทีเรียแบบดั้งเดิมอาจนำไปสู่การระบุเชื้อที่ผิดพลาดได้ แต่การวิเคราะห์ WGS ให้วิธีการที่แม่นยำและตรงเป้าหมาย ช่วยให้มั่นใจในการระบุเชื้อที่แม่นยำ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการดื้อยาโดยละเอียด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญในการตรวจสอบการระบาดของโรคและยกระดับการดูแลผู้ป่วย”

ดร. Reem Almaghrabi หัวหน้าฝ่ายโรคติดเชื้อจากการปลูกถ่ายอวัยวะ ณ Organ Transplant Centre of Excellence ของ KFSH&RC เน้นย้ำความสำคัญของการค้นพบครั้งนี้ที่มีต่อการสนับสนุนการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น WGS ในการพัฒนาวิธีการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวทางนี้ยังเป็นการวางรากฐานด้านความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ เพื่อยกระดับความทุ่มเทในการต่อสู้กับการดื้อยาปฏิชีวนะในระดับโลกด้วย

การทำความเข้าใจความแตกต่างของแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดื้อยาปฏิชีวนะนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นวิธีการต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญอีกด้วย เนื่องจากแบคทีเรียวิวัฒนาการความต้านทานของตนเองอย่างต่อเนื่อง เชื้อเหล่านี้จึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่น่าสนใจคือ KFSH&RC ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่หนึ่งในประเทศทวีปตะวันออกกลางและแอฟริกา และในอันดับที่ 20 ของโลกจากรายชื่อสถาบันดูแลสุขภาพชั้นนำกว่า 250 แห่งทั่วโลกซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันจากการจัดอันดับของ Brand Finance ประจำปี 2567 นอกจากนั้นแล้ว ในปีเดียวกัน ศูนย์แห่งนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกโดยนิตยสาร Newsweek อันทรงเกียรติอีกด้วย

King Faisal Specialist Hospital & Research Centre เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านการให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะทาง การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการดำเนินการในฐานะศูนย์กลางการวิจัยและการศึกษาทางการแพทย์ขั้นสูง โรงพยาบาลมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ให้ก้าวหน้าและยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพทั่วโลกผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับสถาบันที่มีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และนานาชาติ

เกี่ยวกับ King Faisal Specialist Hospital & Research Centre (KFSH&RC):

King Faisal Specialist Hospital & Research Centre (KFSH&RC) ถือเป็นสถาบันดูแลสุขภาพชั้นนำในตะวันออกกลาง โดยมีเจตจำนงที่จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกรายที่กำลังต้องการการรักษาพยาบาลเฉพาะทาง โรงพยาบาลแห่งนี้มีประวัติอันยาวนานในการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ ประสาทวิทยาศาสตร์ และพันธุศาสตร์

ในปี 2567 “Brand Finance” ได้จัดอันดับให้ King Faisal Specialist Hospital & Research Center เป็นศูนย์วิชาการทางการแพทย์ชั้นนำในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา และติดหนึ่งใน 20 อันดับแรกของโลกด้วย นอกจากนี้ ในปี 2567 ศูนย์แห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก จากนิตยสาร Newsweek และเป็นอันดับ 1 ใน KSA

มีการออกพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Saudi Vision 2030 เพื่อปฏิรูปโรงพยาบาลให้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งปูทางไปสู่โครงการปฏิรูปที่ครอบคลุมเพื่อบรรลุผลสำเร็จในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพผ่านความเป็นเลิศและนวัตกรรม

ข้อมูลการติดต่อ

หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:

คุณ Essam Al-Zahrani รักษาการหัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชน 0555254429

คุณ Abdullah Al-Awn บรรณาธิการสื่ออาวุโส โทร 0556294232

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่ https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/c4299c01-0079-498b-8350-bd085d769150

GlobeNewswire Distribution ID 9079374